ทุกประสบการณ์ในชีวิตเราใช้ไปในการมองด้านในได้ ทุกครั้งที่เกิดการปะทะกันระหว่างธรรมะกับกิเสส มันจะแตกตัวเป็นการเรียนรู้ใหม่-เป็นปัญญา
แล้วเราจะรู้ว่า เราเติบโตหรือไม่เติบโตจากการปะทะของกิเสสแต่ละครั้ง จะรู้ว่ารุดหน้าหรือถอยหลัง เราจะมีทักษะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อาตมามองอุปสรรคพวกนี้อย่างมีความหวัง เพราะเรื่องพวกนี้ทำให้เราหันมามองตัวเอง รู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่มีเรื่องมาทำให้ตื่นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง
เหมือนมีเข็มที่มาทิ่งแทงให้เกิดสติ
การเจริญสติที่แท้จริงคือการดำเนินชีวิต ที่ต้องเป็นไปโดยธรรมชาติ อย่าไปตีความการปฏิบัติให้แคบลง ให้เหลืออยู่แต่ในคอร์สวิปัสสนา หรือการเจริญสติในวัด
พึงระลึกเสมอว่าการเรียนธรรมกับครูอาจารย์เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรม แต่การดำเนินชีวิตเป็นทั้งหมดของการปฏิบัติธรรม
อาตมาเชื่อว่าระหว่างคนที่อยู่ใกล้สิ่งเร้า(กิเลส)กับคนที่ไม่มีสิ่งเร้า ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ มันขึ้นอยู่กับกระบวนการมากกว่า
ถ้าเราอยู่แบบปราศจากสิ่งเร้า แล้วไม่ได้ฝึกกระบวนท่าในการต่อสู้เลยก็ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ถ้าเราอยู่ท่ามกลางสิ่งเร้า แต่มีกระบวนท่าในการเจริญสติ สิ่งเร้าก็ไม่สำคัญ
การไม่อยู่ท่ามกลางสิ่งเร้าเป็นโอกาส แต่การอยู่ท่ามกลางสิ่งเร้าก็ยิ่งเป็นโอกาส เพราะมันทำให้การฝึกฝนพัฒนาได้เร็วขึ้น
สำหรับคนที่ยังไม่คิดจะฝึก อยากจะบอกว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนให้ดีกว่าที่เป็นอยู่หลายร้อยหลายพันเท่า แล้วทำไมจึงไม่พัฒนาไป แล้วจะเห็นว่าตัวเองมีพัฒนาการที่่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น
หลายคนไม่กล้าลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเอง เพราะเสียดายกิเสส...
อย่าเสียดาย
การปลดปล่อยกิเลสทำให้ความสุขมาเป็นระลอกๆ เหมือนกับยานอวกาศทิ้งถังเชื้อเพลิงทีละปล้องๆ เพื่อทะยานสู่อวกาศ ถ้าไม่ทิ้งก็ไปไม่ถึงเป้าหมายในอวกาศนั้น
คนที่ศึกษาธรรรมะ ถ้ามีความเข้าใจและมีการหยั่งรู้สึงสัจธรรมเกิดขึ้น จะไม่มีความเสียดายกิเสสเลย
บางส่วนจากบทสัมภาษณ์พิเศษ ว.วชิรเมธี จากหนังสือ "ความสุขไม่ต้องรอ" โดย วีณา โดมพนานดร
http://www.facebook.com/v.vajiramedhi?sk=app_190322544333196#!/note.php?note_id=444193716391
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น