14 เม.ย. 2554

วิธีล้างใจจากการจองเวร



ถามถ้าหมั่นไส้ใครคนหนึ่งไม่หายจะทำอย่างไรดีครับ? พยายามตั้งความนึกคิดเป็นกุศลกับเขาแล้ว
แต่อย่างไรก็ต้องเวียนกลับมาหมั่นไส้อยู่ดี เหมือนใจเห็นไปแล้วว่าเขามีข้อเสียอย่างไร
นึกถึงเขาเมื่อไหร่เลยเล็งอยู่แต่ข้อเสียตรงนั้นไม่เลิก ตอนนี้ไม่ค่อยอยากมีจิตเป็นอกุศลกับใครอีกแล้ว
ขอคำแนะนำด้วยนะครับ



พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมชาติของใจคนเรานั้นไหลลงต่ำ หมายความว่าถ้าจะขึ้นสูงก็ต้องออกแรงทวนกระแส
จากความจริงนี้ ผมขอตั้งทฤษฎีขึ้นมาข้อหนึ่งนะครับ คือกำลังของใจที่ใช้ในการคิดไม่ดีมีขนาดเท่าใด
ต้องใช้กำลังของใจในการคิดดีเป็นสองเท่า จึงจะลบล้างความคิดไม่ดีเดิมได้
แปลว่าถ้าคุณคิดหมั่นไส้ใคร แล้วแค่จะคิดตัดใจเลิกหมั่นไส้ดื้อๆ นั้น ไม่น่าเป็นไปได้
เว้นแต่คุณจะลงทุนออกแรงมากกว่าคิด

ลองเอาชนะกรรมทางความคิดเดิมด้วยกรรมใหม่ที่มีกำลังเหนือกว่า ซึ่งไม่ยากเกินไปดังนี้

๑) เห็นโทษของการเป็นคนมีนิสัยขี้หมั่นไส้
ว่าอาจก่อให้เกิดความคิดไม่ดี คำพูดไม่ดี และการกระทำไม่ดี แล้วตั้งใจเลิกนิสัยนี้เสีย
การเห็นโทษของบาปหรืออกุศลเท่านั้น เป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้จิตฉลาดในกรรมอย่างแท้จริง
เช่นหากปราศจากซึ่งการเห็นโทษของการหมั่นไส้เสียแล้ว คุณจะเอากำลังใจคิดอยากเลิกหมั่นไส้มาจากไหน?

๒) เห็นด้านดีของคนที่คุณหมั่นไส้
หมายถึงต้องเล็ง ต้องสังเกต หรือต้องสำรวจกันจริงๆ ไม่ใช่มองเล่นๆ พยายามหาให้เจอ
และคุณรู้สึกออกมาจากส่วนลึกว่านั่นคือความดีของเขา นั่นคือคุณประโยชน์ของการมีเขาอยู่ในโลก
จากนั้นให้เอาข้อดีที่พบไปพูดสรรเสริญให้คนอื่นฟัง เพียงแค่ครั้งสองครั้ง คุณจะเห็นใจตัวเองแตกต่างไป
คือรู้สึกจดจำเขาในภาพใหม่ขึ้นมา นั่นก็เพราะคุณสร้างใจจริงดีๆ ด้วยการมองเห็นกรรมดีของเขาตามจริง
แถมสำทับซ้ำให้หนักแน่นด้วยการพูดดีเชิดชูเขา เท่ากับก่อทั้งมโนสุจริตและวจีสุจริต ชนะมโนทุจริตเดิมขาดลอย
เว้นแต่คุณไปว่าร้ายเขามานาน อันนี้ก็ต้องตามแก้ด้วยน้ำหนักบุญใหม่
พูดถึงเขาในด้านดีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้น้ำหนักเกินบาปเก่า ซึ่งจะรู้ได้ว่าถึงจุดนั้น ก็เมื่อใจคุณจะเบาหวิว
มีแต่มุมมองด้านดี เห็นเขาแล้วอยากยิ้ม ไม่คิดเลอะเทอะเลื่อนเปื้อนอันใดอีกเลย

ความหมั่นไส้เป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างหนึ่งของมนุษย์และสัตว์ มองหน้ากันแวบแรกสามารถเขม่นกันได้ทันที
อาจเพราะรูปร่างหน้าตาดีกว่าเรา อาจเพราะได้ดีเกินที่เรารู้สึกว่าควร
หรืออาจเพราะเคยมีความผูกพันทางด้านร้ายกันมาแต่ปางก่อน
อย่างไรโดยธรรมชาติอันเป็นที่สุดแล้ว ต้นตอความหมั่นไส้มาจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูงเป็นหลัก
คนจนหมั่นไส้คนรวย คนตัวเหม็นหมั่นไส้คนตัวหอม คนทุศีลหมั่นไส้คนมีศีล เรียกว่าธรรมดาโลก

มนุษย์นี้นะครับ เพียงชาติเดียวก็เห็นอะไรได้หลายอย่าง ชีวิตเปิดโอกาสให้เราเคยเป็นทั้งผู้มองและผู้ถูกมอง
เวลาเรามองคนอื่น เรามักไปตั้งความคาดหวัง ว่าทำไมเขาไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมเขาถึงไม่ทำอย่างนี้
ต่อเมื่อสลับที่ยืน ถึงเวลาเราไปอยู่ในจุดที่ถูกมอง เราก็อาจสงสัยว่าทำไมเขาไม่มองเราอย่างนี้
ทำไมเขาถึงมองเราเตลิดเปิดเปิงไปได้ขนาดนั้น

คนเราเข้าถึงกันได้จำกัด แต่ละคนอยู่ในกรอบของตัวเอง
กรอบที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์ มุมมอง ความเชื่อ และความรู้สึก
ยิ่งกว่านั้นคนเรามักจะนึกว่าเข้าใจสิ่งที่คนอื่นคิด โดยเอาความคิดของตนเองเป็นเครื่องวัด
เช่นถ้าเรามาทำงานเร็วเพื่อเอาหน้า พอเห็นคนอื่นมาทำงานเร็วก็นึกว่าเขาอยากเอาหน้าเช่นกัน
ทั้งที่ความคิดของเขาอาจแค่อยากเลี่ยงรถติดเท่านั้น

หากมีอุบายใดที่คิด พูด และทำกับคนถูกหมั่นไส้ แล้วใจคุณรินเมตตาออกมา ก็เอาเลยครับ อย่าช้า
เพราะเมตตานั่นแหละเป็นคลื่นจิตด้านบวก ที่ลบล้างมลทินทางใจได้ครอบจักรวาลแน่แท้



ถาม
อยากได้วิธีลัดๆ ในการกำจัดความคิดจองเวรออกจากใจทั้งเขาและทั้งเราครับ


คำถามข้อนี้ขอตอบด้วยคำตอบเดิมกับข้อก่อน คืออาศัยเมตตาจิต แต่อาจมีอุบายชนิดลัดสั้นตามที่คุณขอมา

ให้ไปที่หน้าหิ้งพระ (หากใครไม่มีโต๊ะหมู่บูชาที่บ้าน ก็หารูปแทนพระพุทธเจ้ามาตั้งไว้ในที่สูง เหนือศีรษะก็ได้)
แล้วทำความรู้สึกว่าถ้าพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ตรงหน้าเราจริงๆ เราจะรู้สึกถึงรัศมีความปลอดภัย
รัศมีความปลอดเวร เพราะพระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ด้วยการให้ความเกื้อกูล
ไม่เคยเบียดเบียนใครด้วยเจตนาทางกาย วาจา หรือแม้กระทั่งใจคิดสักครั้ง

เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสเมตตามหากรุณาของพระองค์ท่าน คุณรู้สึกถึงความโปร่งเบาโล่งสบายเฉพาะหน้า
จากนั้นให้เปล่งวาจาชัดถ้อยชัดคำว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ผูกเวรกับใคร
ขณะกล่าวให้ทำความรู้สึกถึงความจริงนั้น หากเกิดดวงความอบอุ่น หรือสัมผัสชัดถึงความว่างจากภัยเวร
ขอให้ทราบว่าด้วยการเปล่งวาจาประกาศคุณของพระพุทธองค์ของคุณ
ได้เหนี่ยวนำเอาพลังแห่งความจริงดังกล่าวมาเข้าตัวคุณในบัดนั้นแล้ว

ชั่วขณะดังกล่าวจิตคุณจะปลอดจากความผูกใจพยาบาท ไม่อยากก่อเวรกับใครทั้งโลก
รู้ไว้ว่าจิตของคุณเป็นดวงกุศล มีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยพุทธคุณ
ให้เป่าลมปาก เพื่อใช้ธาตุลมเป็นสื่อเหนี่ยวนำจิตให้เกิดความรู้สึกชัด
น้อมนึกให้สายลมนั้นไปปะทะบุคคล อันเป็นเป้าหมายเสมือนเขานั่งอยู่ตรงหน้า
ระหว่างคุณกับเขาคือความปลอดภัย ปลอดเวร

เอ่ยสามครั้ง เป่าปากสามครั้ง เพื่อสำทับอารมณ์ให้หนักแน่น หากทำเช้าเย็น (หรือถี่กว่านั้นยิ่งดี)
สิ่งที่คุณจะรู้สึกชัดกับตัวคือ เหมือนมีรัศมีพุทธคุณมาป้องจิตไม่ให้หลงเข้าไปเกลือกกลั้วกับเวรใดๆ
และเหมือนมีความอบอุ่นปลอดภัยห่อหุ้มกายใจเกือบตลอดเวลา
แต่สิ่งที่คุณอาจไม่ตระหนักคือดวงความอบอุ่นปลอดภัยนั้น เป็นพลังเมตตาอย่างหนึ่ง
ซึ่งมีผลกระทบกับความรู้สึกของคู่เวรของคุณโดยตรง
ตามธรรมชาติกระแสจิตที่แผ่กระทบกันได้โดยไม่ต้องเห็นตัว ยิ่งดวงความอบอุ่นขยายกว้าง
และจิตใจคุณสงบเยือกเย็นอยู่ภายในยิ่งขึ้นเท่าไหร่ เขาก็จะค่อยๆ รู้สึกแบบเดียวกับคุณมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าทำขณะเห็นหน้าอาจไม่ได้ผล เพราะกำแพงความเกลียดกันมาขวางบัง ต่างจากตอนทำลับหลัง
ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้ตั้งกำแพงความเกลียดกั้นไว้
การทำลับหลังอย่างบริสุทธิ์ใจจะให้ผลน่าประหลาดใจ เมื่อเจอหน้ากันครั้งต่อไป มากกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณแผ่เมตตาด้วยวิธีนี้จนจิตเกิดกระแสเมตตาท่วมท้น
ก็อาจพบว่าการแผ่เมตตาซึ่งๆ หน้าได้ผลไม่แพ้เมื่อทำลับหลังเช่นกัน

หากเปล่งวาจาอ้างสัจจะความจริงที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ผูกเวรกับใคร แล้วใจยังไม่นิ่ง ไม่น้อม
ก็อาจสวดมนต์อิติปิโสฯ สักสองสามจบให้ใจสัมผัสกระแสพุทธคุณกว่าเดิม แล้วค่อยเปล่งวาจาก็ได้
หวังว่าคงเป็นทางลัดที่ลองแล้วประสบความสำเร็จเร็วดังใจนะครับ

โดย ดังตฤณ
จากหนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๕
ที่มา : http://dungtrin.com/

ไม่มีความคิดเห็น: