27 เม.ย. 2554

การขอขมาอโหสิกรรม

คำขอขมาอโหสิกรรม





นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (3จบ)



ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ สิ่งใด ที่ข้าพเจ้า และจิตญาณทั้งหลาย ที่พ่วงพันมากับข้าพเจ้า พร้อมทั้งเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ที่ไม่ตรงต่อสัจธรรม และกรรมอันใดที่ได้เคยประมาทพลาดพลั้ง ปรามาสล่วงเกิน ต่อองค์คุณเบื้องสูง ต่อองค์คุณพุทธะ มหาพุทธะ
พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ พระอรหันต์ พระมหาอรหันต์ พระธรรมคำสอน พระอริยสงฆ์อริยเจ้าทั้งหลาย สมมติสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งคุณของบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ทั้งหลาย คุณของพรหมเทพทุกชั้นภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คุณของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย คุณศีลคุณทานทั้งหลาย คุณของจิตญาณทั้งหลายทั้งปวง

อีกทั้งกรรมอันใด อันเป็นการผิดศีลผิดธรรม และก่อให้เกิดการเบียดเบียนต่อสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย
จนก่อเกิดเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย อีกทั้งกรรมอันใด ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยตนเองและให้ผู้อื่นต้องลุ่มหลงมัวเมา จิ้งจ้อง-ต้อง-ตั้ง
วกวนอยู่ในธาตุ4 ขันธ์5 อันเป็นกรรมซ้อนขันธ์ กรรมซ้อนธาตุ กรรมซ้อนธรรม

จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะเจตนาหรือมิได้เจตนาก็ตาม
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในทุกภพทุกชาติ ทุกกัลป์ทุกกัป ทุกพุทธันดร

บัดนี้ ข้าพเจ้าและจิตญาณทั้งหลาย ที่พ่วงพันมากับข้าพเจ้า พร้อมทั้งเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ได้สำนึกแล้วด้วยใจ ถึงกรรมนั้นๆ ข้าพเจ้าทั้งหลาย จึงกราบขอขมา ขออโหสิกรรม
ขอองค์พุทธะ พระอรหันต์ และพระมหาโพธิสัตว์ จงได้โปรดเป็นประธาน ในการขอขมาและขออโหสิกรรมในครั้งนี้
ขอให้องค์คุณทั้งหลายทั้งปวง ได้โปรดงดโทษและอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย
เพื่อความไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ในทุกข์โทษทั้งหลาย ให้มีการดำเนินชีวิตที่ตรงต่อการให้ การสละ เกื้อกูล
สงเคราะห์ อนุเคราะห์ ตรงต่อสัจธรรม ตรงต่อพระนิพพานอยู่แล้ว

ณ โอกาสบัดนี้ด้วยเทอญ...


เหตุ – ผล

: การขอขมาและอโหสิกรรมเป็นอริยะประเพณี เป็นพิธีกรรมที่องค์พุทธะและพระมหาโพธิสัตว์ใช้ในคราที่พระองค์ลงมาโปรดสัตว์โลก เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เวียนว่ายตายเกิดมานับภพชาติไม่ถ้วน ด้วยความหลงจึงเกิดการกระทบกระทั่ง เกิดการปรามาสล่วงเกิน เบียดเบียน เสียดสี ทิ่มแทงกัน(กรรม)ด้วยกาย วาจา ใจจึงเป็นสิ่งที่เคยมีมาอย่างแน่นอน และด้วยเหตุดังกล่าวนั้นจึงส่งผลให้เกิดกรรมวิบาก(ผลแห่งกรรม) พ่วง-ผูกและพัวพันกันอยู่ในรูปแบบต่างๆในสังสารวัฏ สังสารวนนี้ ให้ต้องทุกข์ยาก ลำบากกันต่อไปมิรู้จบสิ้น การขอขมาและอโหสิกรรมจึงเป็นโอกาสที่สัตว์โลกจะได้คลี่คลายกรรมวิบาก นานัปการของตนเอง โดยเฉพาะกรรมวิบากที่มีผลในการขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคในการเข้าใจเนื้อหา แห่งสัจธรรม


โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม หากเคยได้ปรามาสต่อองค์คุณเบื้องสูงมาแล้วละก็ วิบากกรรมจากเหตุดังกล่าวมีผลให้เกิดความมืดบอด หมอง มัว พร่า อึมครึม ลังเล สงสัย ไม่แจ่มชัดในพระสัจธรรม อันเป็นเหตุให้เกิดความเนิ่นช้าของปัญญาจักษุ หรืออาจก่อเป็นเหตุใหม่ในการปรามาสล่วงเกินองค์คุณต่างๆหนักขึ้นไปอีก

: การขอขมา ขออโหสิกรรม จะมีผลต่อเมื่อทำจากจิตสำนึกถึงโทษภัยที่ได้ปรามาสล่วงเกิน เบียดเบียนองค์คุณทั้งหลายทั้งปวงมา โดยเฉพาะจะมีผลมากหากได้ทำการขอขมา ขออโหสิกรรมต่อหน้าคู่กรณี(ถ้ายังมีชีวิตอยู่) แล้วได้เปล่งวาจา “อโหสิ”ซึ่งกันและกันต่อหน้าพระอรหันต์หรือองค์มหาโพธิสัตว์ อันเปรียบเหมือนเป็นองค์ประธานในพิธีการครั้งนี้ อีกทั้งจะได้เป็นการปลดล๊อค คลี่คลายกรรมวิบาก จากหนักก็จะได้เป็นเบา จากเบาก็จะหมดสิ้นกันไปได้

นอกจากนั้น ยังจะเกิดจิตสำนึกในการสำรวมระวังสังวร ในการเห็น การได้ยิน การคิดนึก การกระทำที่จะไม่เป็นการไปปรามาสล่วงเกินหรือเบียดเบียนองค์คุณทั้งหลายทั้ง ปวงอีกต่อไป

: และขอให้เข้าใจว่า การขอขมาและขออโหสิกรรม มิใช่การอ้อนวอนร้องขอ แต่เกิดจากจิตสำนึกอย่างจริงใจและบริสุทธิ์ใจ และอย่าให้มีการ(แอบ-ซ่อน)หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น

เครติดโดย คุณปรินซ์ แห่ง http://rombodhidharma.net/ นะคะ เธออรรถาธิบายไว้กระจ่างดีค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: