22 เม.ย. 2554

สำนวนภาษาอังกฤษ...ฮิตติดปาก

1. Try me  แปลว่า ก็ลองดูสิ

เป็นคำพูดที่ท้าทายให้อีกฝ่ายหนึ่งลองทำดูในสิ่งที่เสนอมา เช่น

A   : You want to listen this jock? It's going to make you laugh real hard for sure

(เธออยากฟังเรื่องตลกนี่มั้ย คิดว่าถ้าเล่าให้เธอฟังแล้ว เธอจะต้องหัวเราะเป้นแน่)

B : Try me (ไหนลองเล่ามาซิ)

...........................................................................................

2. Act your age  เลิกทำตัวเป็นเด็กๆซะที(หน่า)

เป็นสำนวนที่พ่อแม่พูดมักพูดกับลูก  หรือเวลาที่เด็กงอแง หรือทำตัวเหมือนเด็กเล็ก  ก็เลยพูดออกไปว่า


Act your age! หรือ Be your age! (นี่หนูเลิกทำตัวเป็นเด็กซะทีน่า) นอกจากนี้ยังใช้กับผู้ใหญ่บางคนที่ชอบ

ทำตัวเป็นเด็กๆ ซึ่งพอจะแปลความได้ว่า ไม่รู้จักโตซะที
.........................................................................................

3. Never say die!  แปลว่า อย่ายอมแพ้

ในที่นี้คำว่า ตาย อาจจะหมายถึง การแพ้ หรือ การยอมแพ้เช่น เวลาเราแข่งขันอะไรสักอย่าง เมื่อทีม

กำลังจะแพ้ กองเชียร์อาจเผลออุทานว่า ตายแน่ !  (แต่หวังว่าพวกเราคงไม่พูดกันหรอกนะ) หรือเวลา

เล่นเกม เห็นเพื่อนท่าทีจะแพ้นี่ เลยบอกให้ยอมแพ้ไปซะ ด้วยคำพูดที่สุดแสนจะทิ่มแทงหัวใจว่า

Say die. ยอมแพ้เสียเถอะ หรือ ยอมแพ้มาดีกว่า

Never say die! มีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า Don't give up อะไรทำนองนี้ที่เราคุ้นๆกัน

สำหรับกองเชียร์ฮูลิแกนที่ไม่ชอบเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็อาจจะพูดค้านขึ้นว่า

Are you kidding? Never say die. พูดเป็นเล่นน่า ไม่ยอมแพ้ง่ายๆดอก สู้ตายจ้า

....................................................................................................

4. "Tell me about it" ถ้าแปลธรรมดาจะแปลว่า "เล่าให้ฉันฟังสิ" แต่มันสำนวนที่ออกมาในรูปแบบพูด

ประชดประชัน เมื่อเป็นสำนวนจึงถูกแปลว่า "ไม่ต้องบอกฉันหรอก" หรือ "รู้แล้ว (น่า)" เช่น 

A: I heard the company will lay off many employees.

ฉันได้ยินมาว่าทางบริษัทจะปลดลูกจ้างออกเป็นจำนวนมากเลยนะ

B: Tell me about it. เออ รู้แล้วน่า (ไม่ต้องมาบอกฉันหรอก พร้อมน้ำเสียงขุ่นเคืองหน่อยๆ)

.................................................................................................

5. My lips are sealed. ความหมาย:   ปิดปากเงียบสนิท ไม่เปิดเผยความลับ รู้แล้วไม่นำไปเล่าต่อ

ตัวอย่าง สมมุติว่าเมื่อเล่าเรื่องส่วนตัวของกันและกันให้เพื่อนสนิทฟังแล้ว จากนั้นก็กำชับกัน

 I hope you don’t tell anyone about this.  แปลว่า เธออย่าบอกใครนะ

แหนะ มีการกำชับด้วยว่าอย่าไปบอกให้คนอื่นรู้ล่ะ ฉันบอกเธอคนเดียว อิอิ

อินชาอัลลอฮฺ ทุกคนรับปาก ไม่บอกต่อก็ไม่บอกต่อ 

Don’t worry. My lips are sealed. (ไม่ต้องห่วง  ฉันจะเย็บปากปิดสนิท ให้เอาชะแลงมางัดก็ไม่ยอมเผย

ปาก) เมื่อรับปากแล้วจะต้องไม่พูดต่อ มิฉะนั้นจะกลายเป็น talk of the town ในเวลาต่อมา noway:

หมายเหตุคำว่า lip ปกติแปลว่า ริมฝีปาก มีรูปพหูพจน์เสมอ  เพราะใครๆ ก็ 2 lips  กันทั้งนั้น  คือมีทั้งริมฝีปากบนและริมฝีปากล่าง ส่วนคำว่า seal  ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง แมวน้ำ ตราประทับ (ของหน่วยราชการ) หรือหน่วยรบใต้น้ำของกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งเรียกว่า Navy seal แต่ถ้าเป็นคำกริยา แปลว่า ปิด (ปากถุง) เช่น โดนตีหัวแบะมา มาให้หมอเย็บ  อย่างนี้ก็เรียกว่า seal the woundปิดซองจดหมาย เรียกว่า seal the envelop (package)

ถุงพลาสติกที่มีซิปรูด ก็เรียกว่า seal the bag
 แปลว่า ปิดปากถุง   เป็นต้น

..................................................................................................................

6. What's the big deal? ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย หรือ มันอะไรกันนักกันหนา ใช้พูดเวลาที่คุณรู้สึกว่า

บางสิ่งมันไม่ได้สำคัญอย่างที่คนอื่น ๆ คิดกัน

A: It’s not easy as you think มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอกนะ

B: What’s the big deal? มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย...
...............................................................................................................

7. (It's) a piece of cake   ถ้าแปลเป็นสำนวนไทยก็คือ....ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก นั่นเอง

ใช้กับการแสดงความเห็นในสิ่งที่คิดว่า...สิ่งนั้นสามารถทำได้โดยง่าย ไม่ต้องออกแรงมากนัก หรือไม่ยุ่ง

ยากอะไรเลยเป็นต้น ในภาษาอังกฤษก็มีการเปรียบเทียบความง่ายของการกระทำว่า  ง่ายเหมือนกินขนม

เค้ก คงเป็นเพราะ ขนมเค้กทานง่ายไม่ต้องออกแรงเคี้ยวเหมือนขนมอื่นๆ (มั้ง)

คนไทยไปเวลาเจออะไรง่ายๆ มักพูดว่า จิ๊บจ๊อย...ขี้ผง...กล้วยๆ...หรือ ชิวชิว (ของวัยรุ่น) ก็ความหมาย

เดียวกันกับ (It's) a piece of cake ค่ะ

..............................................................................................

8. Read my lips     แปลเป็นไทยว่า อ่านริมฝีปาก  ซึ่งหมายความว่า ฟังที่พูด (ต่อไปนี้) ให้ดีนะ

หมายถึงให้อีกฝ่ายหนึ่งตั้งใจฟังในสิ่งที่เราพูด เพื่อที่จะไม่ตีความหมายหรือได้ยินเป็นอย่างอื่น และ

ป้องกันการเกิดความเข้าใจผิดตามมา

ตัวอย่าง เช่นแม่พูดกับลูกๆว่า Do you read me? ได้ยินชัดเจนหรือไม่, เข้าใจที่แม่พูดหรือเปล่า?

และแม่ก็ย้ำไปอีกครั้งว่า Read my lips, please. You should go to bed now โปรดฟังที่แม่พูดให้ดีนะ.. ลูก

ควรเข้านอนได้แล้ว..คงพอเข้าใจกันนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น: