21 เม.ย. 2554

เกลียดเขาใจเราร้อน นินทาเขาใจเราเน่าเอง

“โอ๊ย รำคาญจะตายอยู่แล้ว น่าอึดอัดที่สุด”
เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น และก็คงจะเป็นตัวแทนเสียงของอีกหลายคนที่ยังนิยมการพูดคุยวิจารณ์เรื่องคนอื่นใช่!ชายคนนี้หลุดปากออกมาว่าเบื่อ เบื่อความไม่ดีของคนนั้น เบื่อความไม่น่าพอใจของคนนี้ รู้แล้วว่าการให้อภัยเป็นสิ่งดี ก็พอเข้าใจว่าทำไมนายคนนั้นถึงเป็นอย่างนั้น เธอคนนี้ถึงเป็นอย่างนี้ แต่ไม่รู้สิ มันน่าอึดอัด น่ารำคาญทั้งที่เรื่องราวหรือสิ่งที่มากระทบใจให้เขาขุ่นเคืองมันจะผ่านไปหลายวันแล้วก็ตาม แต่ความอึดอัดก็ยังคงทวีตัวขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นก้อนทุกข์ก้อนหนึ่งที่เขาอยากจะควักมันออกมา แล้วปามันทิ้งให้แสนไกลอันที่จริง การที่เขาอึดอัดเรื่องของคนอื่น แม้เรื่องของคนอื่นที่ว่านั้น จะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเขาโดยตรงก็ตาม แต่อย่างไรสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้มีอยู่จริงอีกแล้ว ณ ปัจจุบันขณะ คู่กรณีก็ไม่มามีส่วนร่วมรู้เห็น หรือร่วมอึดอัดแน่นแค้นไปกับเขาด้วยสักนิด สิ่งสำคัญคือการหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องไม่น่ายินดีพอใจนั้น เสมือนกำลังเอามีดกรีดหนองตัวเอง แต่บอกว่าคนอื่นเป็นผู้บงการ
นั่นเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ความจริงอีกข้อหนึ่งที่สำคัญ และเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจนั่นก็คือ การที่เขานำเรื่องไม่ดีที่ถูกกระทำจากคนอื่น แม้มันจะเป็นเพียงเรื่องคำพูดคำจาที่ไม่เข้าใจกัน ที่ไม่ถูกหู ถูกโฉลก ไม่ได้เป็นการทำร้ายร่างกายกันแต่ประการใด
      เขาได้นำมาโพนทะนาแล้วโพนทะนาเล่า ให้บุคคลที่สามผู้ไม่เกี่ยวข้องได้รับฟัง มีคนสนับสนุนบ้าง ยุยงให้แตกแยกบ้าง หลากหลายความเห็น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นความเห็นที่ก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงของปัญหา และสร้างความวุ่นวายให้แก่เจ้าของเรื่องโดยไม่รู้ตัวมีน้อยเท่าน้อย ที่จะช่วยพูดให้จิตใจของชายผู้นั้นเบาคลาย ก็แน่สิ…ใครกันจะช่วยมาเปิดตาเปิดปากมองเห็นความดีงามของคนอื่นในวงสนทนา..เรื่องเม้ามันจะไปสนุกเด็ดเผ็ดมันได้อย่างไร  แม้จะไม่รู้จักกับคนที่ทำให้ชายคนนั้นเดือดร้อนเลยด้วยซ้ำ แต่ขอสักหน่อยเถอะ ได้ใส่คำสนับสนุน ด่าว่า เพื่อให้มีเรื่องปรุงแต่งกันต่อไป ชีวิตมีสีสันดีไม่หยอก..
โชคดีของชายผู้นี้ ที่ยังมีหญิงสาวเพื่อนร่วมวงสนทนาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า..
“ก็สร้างคุกให้ตัวเองนี่ มันจะไม่อึดอัดน่ารำคาญอย่างไรไหว ที่ตรงนี้นายอยู่กับใคร นายอยู่กับฉัน นายอยู่กับพวกเรา ซึ่งก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเหตุการณ์ที่นายไปพบเจอกับนายคนนั้นจะสร้างความเดือดร้อนอะไรให้มากแค่ไหน แต่ที่ฉันรู้คือ ตอนนี้มันไม่ใช่ ตอนนี้พวกเรามาฟังเพลง กินอาหารผ่อนคลาย มันเป็นช่วงเวลาที่เธอน่าจะผ่อนคลายที่สุด เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันอย่างนี้มานานแล้ว ว่าแต่นายไม่รู้จริงๆ เหรอว่าทำไมเวลานี้จึงเป็นเวลาที่นายทุกข์ใจที่สุด”ชายคนนั้นสะดุดกึกไปพักใหญ่..สีหน้าเจื่อนลง แต่ก็ไม่วายถาม “ทำไมล่ะ…ทำไมเราถึงไม่มีความสุขเอาเสียเลย”
หญิงสาวยิ้มตอบด้วยไมตรีและความเห็นใจอย่างแท้จริง
“ก็เพราะนายมัวแต่นึกควักเศษขยะขึ้นมากินเป็นอาหารหลักของมื้อนี้น่ะสิ เศษขยะที่เมื่อเวลาผ่านไปมีแต่จะเน่าเหม็น ย่อยสลาย และพร้อมจะไม่มีอยู่จริงแม้ในนาทีนี้เพียงแค่นายเข้าใจมัน..เศษขยะในใจที่มีนายคนนั้นปาใส่ปากนาย นายรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดี แต่ก็ยินดีพอใจที่จะเคี้ยวมันอย่างละเมียด ค่อยๆ กลืน แถมว่างเป็นไม่ได้ยังอุตส่าห์ขย้อนขึ้นมาเคี้ยวต่อได้อีก รู้ทั้งรู้ว่ามันเน่า รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพไม่ใช่เหรอ” ชายคนนั้นผ่อนลมหายใจยาว ดูเหมือนความอึดอัดน่ารำคาญใจของเขาจะเริ่มผ่อนคลายลงนับแต่หญิงสาวพูดจบ
“สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนมันออกมา…คายขยะปฏิกูลนั่นทิ้งไปเสีย นายลองลืมตามองฉันให้เต็มสองตา แล้วตั้งใจฟังนะ..ฉันมีเรื่องน่าประทับใจของใครบางคนจะเล่าให้ฟัง”
 เมื่อทำตามที่หญิงสาวแนะนำแล้วเหมือนคุกในใจจะเริ่มปลดแอกตัวเองคืนสู่อิสรภาพได้เสียที คราวนี้ชายหนุ่มก็มีสติเต็มตื่นพอจะรับฟังเรื่องดีๆ จากปากของหญิงสาว
“ผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเช้าเขาเก็บกระเป๋าตังที่นายลืมไว้ในห้องเลคเชอร์มาให้ฉันแล้วฝากฉันคืนนาย จำได้ไหม ที่นายขอบคุณฉันเสียเป็นการใหญ่น่ะ นั่นแหละมีคนเอามาให้ฉันอีกที เมื่อตอนเที่ยงก่อนที่พวกเราจะมาประชุมทำงานร่วมกัน นายบ่นอุบอิบตลอดเลยว่ายังไม่ได้กินข้าว ปวดท้องจะแย่ ให้รีบมาทำไมไม่รู้นักหนา ฉันกำลังจะบอกนายแล้วว่าผู้ชายคนหนึ่งเขาเอาข้าวกล่องมาเตรียมเลี้ยงเพื่อนๆ ในกลุ่ม เพราะเขารู้ว่าเพื่อนบางส่วนต้องเดินทางมาไกล แต่นายก็โมโหอะไรมาไม่รู้ไม่ยอมฟังฉัน เดินหนีไปไหนหน้าตาเฉย แล้วขอแบ่งงานไปทำเองคนเดียวเสียอย่างนั้น ผู้ชายคนเดียวกันนั้นแหละคอยถามฉันด้วยสีหน้ากังวลตลอดเวลาที่นั่งทำงานว่านายเป็นอะไรไป ทำไมไม่มาทำงานด้วยกัน ไม่สบายหรือเปล่า นายยังไม่ได้กินข้าวเลยไม่ใช่เหรอ แล้วนายได้กินยาไหม เขาคนนั้นจำได้ว่านายเป็นโรคกระเพาะ..”
ฟังเพียงเท่านั้นชายคนนั้นก็ยกมือห้ามไม่ให้หญิงสาวพูดอะไรต่อ..
“ฉันอยากเป็นได้อย่างเธอมั่งจัง…เธอช่วยสอนวิธีมองคนให้ละเอียดอ่อน มองคนให้เห็นความดีเยอะๆ แบบเธอบ้างสิ ฉันไม่เคยเห็นเธอนินทาว่าร้ายใครเลย ตั้งแต่จำความได้เธอมีแต่นำเรื่องดีๆ ของคนนั้นคนนี้มาเล่าให้เพื่อนในกลุ่มฟัง”
“ฉันขอโทษ..ฉันมันอคติเองที่มองอะไรนายนั่นไม่ดีไปเสียหมด ไม่ยอมฟังใครเลย ทั้งที่นายนั่นใส่ใจฉันเสียยิ่งกว่าแฟนฉันเสียอีก..ฉันสัญญา พรุ่งนี้ถ้าเจอกันอีกฉันจะเดินเข้าไปขอโทษในสิ่งที่ทำเลวร้ายกับเขาทั้งหมด คำพูดที่ฉันจำมาเล่าให้พวกเธอฟังบางทีก็เกินจริงไปบ้าง เพียงแต่เมฆหมอกแห่งความอคติมันทำให้ฉันมองอะไรเข้าข้างตัวเองไปเสียหมด ฝ่ายนายนั่นไม่มีอะไรดีเอาเสียเลย”
หญิงสาวยิ้มเย็นซึ้งจากใจที่ฝึกมาดีแล้ว
“ไม่มีอะไรสายเกินความเข้าใจ..เมื่อมีความเข้าใจ ความรักก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก”
ในแววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคำขอบคุณ..เวลานี้เมฆหมอกแห่งความอึดอัดน่ารำคาญใจสลายไปเหลือเพียงนัยน์ตาสว่างใสพร้อมรับฟัง และเข้าใจทุกสิ่ง
“น่าเสียดายที่นายนั่นไม่เคยมาบอกอะไรดีๆ กับฉันอย่างที่เธอเล่าให้ฟังต่อหน้าเลย ไม่อย่างนั้นฉันคงมองเขาในแง่ที่ดีขึ้นตามความเป็นจริงไปนานแล้ว”
หญิงสาวยิ้มอีก..ก่อนบอก
“ฉันเคยถามเขาอยู่เหมือนกันว่าทำไม…เขาบอกฉันสีหน้าเป็นกังวลทุกครั้งว่า…เขากลัวโรคกระเพาะนายจะกำเริบถ้าเขาพูดอะไรให้นายไม่พอใจอีก”
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากของชายหนุ่มอีก นอกจากความชื้นที่สัมผัสได้บริเวณขอบตา
ขอให้ทุกชีวิตมองโลกในแง่งาม..ลดการเพ่งโทษนินทาเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันเถิด
ของขวัญวันเข้าพรรษา
ศิลาริน พุทธบุตรี

นิตยสาร ธรรมะใกล้ตัว
ฉบับที่ ๑๑๖
ประจำวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๔

ไม่มีความคิดเห็น: