14 เม.ย. 2554

วิธีระงับความโกรธแบบไม่เก็บกด



ถาม – พยายามระงับความโกรธ แต่ลองอุบายของใครก็ไม่เคยได้ผล บางทีลองดูแรกๆ เหมือนเย็นลง
แต่นานไปก็ลืมอุบายทั้งหลาย และกลับไปห้ามความโกรธด้วยวิธีกดข่มเหมือนเดิม
มีคนเตือนว่าถ้าเก็บกดมากๆ ระวังเครียดเป็นบ้า
(เพราะเขาเห็นเรากัดฟันและเกร็งแน่นทั้งตัว และแม้เหมือนเลิกเกร็งแล้วก็ยังตาทื่อๆไม่เหมือนปกติ)
อยากทราบว่าห้ามความโกรธอย่างไรจึงแน่ใจว่าจะไม่เก็บกด และไม่ระเบิดในภายหลัง?



การฝึกห้ามใจขณะโกรธนั้น ก็คือการฝืนต้านแรงโกรธไม่ให้มันบีบบังคับใจเราทำเรื่องร้าย
จะว่าเป็นกีฬาทางจิตก็ได้ครับ กล่าวคือถ้า ‘เล่นกีฬาทางจิต’ อย่างพอดี ก็ทำให้จิตเข้มแข็งขึ้น
เหมือนยกน้ำหนักฝืนแรงโน้มถ่วงโลกบ่อยๆ หากเหมาะกับกำลังก็ย่อมได้ผลเป็นมัดเนื้อที่แน่นหนา
คุณจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นจอมพลัง และเชื่อมั่นว่าสามารถเอาชนะอุปสรรคได้มากขึ้นทุกที

อย่างไรก็ตาม ถ้าห้ามใจหนักเกินขีดจำกัดก็อาจส่งผลเสีย เช่น ทำให้จิตอ่อนแอลง
นั่นก็คล้ายการฝืนยกน้ำหนักเกินตัว กล้ามเนื้ออาจอักเสบได้ ฉีกได้ หรือแย่กว่านั้นคือหัวไหล่หลุดไปเลย
คุณจะท้อแท้หรือถึงกับสิ้นหวัง สิ้นศรัทธาในตนเองลง
ไม่เชื่อว่าตนจะ ‘เล่นกีฬาทางจิต’ ด้วยการต้านโทสะกับใครไหว

หากสำรวจตนเองแล้วพบว่ายังอ่อนแอ ยังปวกเปียก ยังแพ้ความโกรธง่าย
ต้องหลุดปากพล่ามพูดระบายอารมณ์ให้กับเรื่องเล็กเรื่องน้อย ผมก็ขอแนะนำให้ ‘ฝึกยกน้ำหนัก’ ให้พอดีตัวก่อน
คือถ้าชนวนความโมโหเป็นเรื่องเล็ก เช่น ต้องนั่งรอใครนานหน่อย หรือต้องทนฟังใครพูดจุกจิกน่ารำคาญ
ก็ให้ตั้งใจปิดปากเงียบ และระงับความเคลื่อนไหวทางกาย ไม่แม้จะทำตาขุ่น
เช่นนี้คุณจะรู้สึกถึงความอดทน รู้สึกถึงการฝืนห้ามใจไม่ด่า ไม่ทำปึงปัง ทั้งที่ความโกรธสั่งให้ด่า สั่งให้ปึงปัง

ความอดกลั้นตรงๆ ที่ผ่านด่านทดสอบได้สำเร็จแต่ละครั้ง
จะก่อให้เกิดความรู้สึกมั่นคง หนักแน่น และแข็งแรงขึ้นทีละนิด
พอสอบผ่านในเรื่องเล็กหลายครั้งเข้า คุณจะทราบชัดว่าขันติทรงตัวไปเอง
เมื่อเกิดเรื่องเล็กเรื่องน้อยน่ารำคาญก็ไม่ต้อง ‘ฝืนใจ’ อีกต่อไป ผ่านพ้นได้ง่ายเหมือนยกลูกเหล็กเบาหวิว
ความโกรธและความขัดเคืองจะเหมือนแมลงหวี่แมลงวัน ที่ไม่อาจบินผ่านกระจกเข้ามาในบ้านคุณ
คุณจะรู้สึกสบายและมองเห็นพวกมันอยู่ข้างนอก เป็นของภายนอก ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบ้านอีกแล้ว

แต่ถ้าชนวนให้เกิดความโกรธเกรี้ยวเป็นเรื่องใหญ่ ประเภทเมียรักขอหย่า เจ้านายอาละวาด
หรือเป็นที่คาดหมายได้ว่าโดนเบี้ยวหนี้แน่ แบบนี้ยากจะนิ่ง เพราะเกินกำลังต้านของคุณ ก็ให้หารูระบายบ้าง
อาจใช้คำพูดระบายโทสะได้ แต่อย่าให้เป็นคำด่าเพื่อให้เกิดความสะใจอย่างเดียว
ขอให้ปนๆ ถ้อยคำผ่อนหนักเป็นเบาเสียบ้าง

อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือเยียวยาที่วิเศษ แม้ถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ ที่ชวนมองโลกด้านดี ด้านตลก
ก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้มากอย่างคาดไม่ถึง เช่น
ถ้าเมียรักขอหย่า อย่าเอาแต่ด่าเธอแบบหนำใจท่าเดียว ให้หยอดมุขจุ๋มจิ๋มลงไป เช่น
จะให้คุณเตรียมจัดงานหย่าที่โรงแรมไหนดี อย่าเลือกที่เคยใช้สำหรับงานแต่งล่ะ จ่ายแพงไม่เห็นได้อะไรเลย

ขอให้มีเสียงหัวเราะเล็กๆ เถอะ ให้เสียงหัวเราะเล็กๆ พาคุณผ่านการสอบครั้งใหญ่หลายๆ หน
ในที่สุดคุณจะรู้จักมองโลกในแง่ดี รุ่มรวยอารมณ์ขัน วนเวียนอยู่ในหนองน้ำแห่งความเศร้าได้โดยไม่เปียก
หรือถึงเปียกก็ตัวแห้งเร็ว

คุณอาจเถียงว่าคนกำลังเครียดจะให้คิดคำตลกได้ยังไง
ขอให้ลองแล้วจะรู้นะครับ ตอนกำลังเครียด กำลังเจ็บปวดจุกอกจุกใจนั่นแหละ เหมาะเลยที่จะหัดทำตลกเสียบ้าง
เพราะตอนเครียดจะมีแรงอัดอยู่ในปากและในหัวอกระดับหนึ่ง หากไม่ปล่อยให้ระเบิดเป็นคำพูดร้ายๆ
แต่เปลี่ยนเป็นขับดันให้คำแห่งความบันเทิงหลุดออกมาแทน คุณจะเป็นตลกหน้าตายได้อย่างไม่นึกฝัน

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการทำตลกในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานได้ อย่างน้อยคุณต้องมีสติ
เมื่อมีสติย่อมไม่พูดพล่อย เมื่อไม่พูดพล่อยย่อมเกิดความฉลาดหาคำพูดจี้ๆ ที่ฟังแล้วอดขำไม่ได้
หรือแม้พูดไม่ขำ แค่ทำท่าตลกตอนตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน
ความกดดันก็จะแปรเป็นแรงอัดให้คนอื่นเห็นแล้วหัวเราะได้เหมือนกัน

สรุปคือการระงับความโกรธสำหรับมือใหม่นั้น อาจใช้วิธีงัดข้อกับความโกรธตรงๆ
หรือไม่ก็อาศัยอารมณ์ขันเข้าช่วย ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้หายโกรธแบบไม่มีความอัดอกอัดใจตกค้างอยู่เป็นพอครับ

ในที่สุดคุณจะพบว่ามีบันไดขั้นต่อไปให้ขึ้นสูงได้อีก นั่นคือการเห็นความโกรธไม่ใช่คุณ
มันเป็นภาวะหลอกใจให้หลงเกิดอุปาทานว่ามีตัวคุณเป็นผู้โกรธ แท้จริงมีแต่ภาวะโกรธ
หากถูกรู้ถูกเห็นว่าเกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา
อาการหลงเชื่อว่าความโกรธเป็นตัวคุณจะเบาบางและเหลือน้อยลงทุกที กระทั่งแยกเป็นต่างหากจากกันไปเลย

ความโกรธก็ส่วนหนึ่ง จิตที่เห็นความโกรธก็ส่วนหนึ่ง มี ‘ความว่างจากตัวคุณ’ อยู่ตรงกลาง
ถ้าไปถึงขั้นนั้นได้ ก็เรียกว่าเปลี่ยนสิ่งที่เป็นโทษ ให้กลายเป็นประโยชน์สูงสุดสำเร็จแล้ว



ถาม – จากที่ศึกษามา นักจิตวิทยาบางคนกล่าวว่า ความโกรธเป็นแรงขับดันให้กระทำการอย่างหนึ่ง
ทำนองเดียวกับที่ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ เคยกล่าวไว้ว่าการกระทำของมนุษย์ถูกผลักดันด้วยความรู้สึกทางเพศ
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า ความโกรธเป็นเรื่องสามัญที่มนุษย์ต้องมี
แค่ควรควบคุมมัน เพื่อแปรรูปความโกรธเป็นพลังงานกระทำการ
เช่นเดียวกับนักมวยจะมุ่งมั่นชกสุดแรงเกิดได้ ก็ต่อเมื่อกระเหี้ยนกระหือรือที่จะล้มคู่ต่อสู้
หากไม่มีเชื้อของความโกรธเกลียดหรือความอยากเอาชนะใครเป็นทุน ก็คงยากที่จะโค่นศัตรูสำเร็จ
คงใจอ่อนยอมให้อีกฝ่ายไล่ถลุงตัวเองแทน

หากความจริงเป็นเช่นนี้
จะแปลว่าแนวคิดเกี่ยวกับการระงับความโกรธ ไม่เป็นไปได้จริงกับการมีชีวิตในโลกหรือไม่?



อาชีพบางอย่างต้องใช้โทสะ หรืออาศัยความดุดันเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จจริงๆ ครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกีฬาที่มีเป้าหมายเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้เป็นหลัก

และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ ‘เกมชีวิต’ ซึ่งหลายโอกาสจะเหมือนกับการแข่งกีฬา
เราก็อาจมองได้ว่าความโกรธ ความใจร้อน ความอยากได้อะไรอย่างรุนแรง นับว่ามีส่วนสำคัญ
ขาดมันก็เท่ากับขาดพลังขับเคลื่อนไปสู่การได้สิ่งที่ต้องการ

ตัวอย่างที่มักยกกันก็เช่น เด็กยากจนบางรายอาศัยความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกหยามน้ำหน้า จึงฮึดสู้
ถีบตัวจากสภาพยาจกขึ้นสู่ความเป็นเศรษฐีใหญ่ บางรายก็ใหญ่ระดับโลกเสียด้วย
นั่นก็เป็นตัวอย่างของความโกรธที่มีแรงดันดุจน้ำพุพาขึ้นสูง ทำให้ชนะในเกมชีวิตได้ ไม่ใช่เรื่องสมมุติกันเล่น

ถ้าตอบเฉพาะโจทย์ข้อนี้ ก็ต้องบอกว่าใช่ครับ! ความโกรธเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิต

อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน ถ้าเรามองในแง่ที่มันเป็นคุณ มันก็มีคุณอยู่ไม่น้อย
แต่ถ้าเล็งให้เห็นโทษ มันก็มีโทษอยู่มากมาย

คุณคงเคยได้ยินว่าโจรขึ้นบ้านสิบครั้ง ยังไม่เท่าไฟไหม้บ้านครั้งเดียว เพราะอย่างไรโจรก็เอาไปแค่สมบัติเครื่องใช้
แต่ไฟเอาไปหมดแม้แต่เสาเรือน เรียกว่าไม่เหลือที่ซุกหัวนอนไว้ให้เจ้าของกันเลย

แต่คุณว่าไหม ไฟไหม้บ้านสิบหน ยังไม่เท่าไฟไหม้ตัวหนเดียว เพราะถึงสูญบ้านไปถ้าไม่ตายก็หาใหม่ได้
เศรษฐีคนหนึ่งอาจมีบ้านให้เผาเป็นสิบหลัง โดยเงินในธนาคารยังเหลือให้ปลูก บ้านใหม่อีกร้อยแห่ง
แต่ตัวตายนี่หมดสิทธิ์เลย ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ต่อให้เป็นเจ้าของบ้านร้อยหลัง ก็ต้องยกทั้งร้อยหลังนั้นให้คนอื่นหมด
ไม่รู้จะเอาตัวที่ไหนไปอาศัยในบ้านเหล่านั้นอีกแล้ว

แล้วไฟอะไรเผาตัวได้แบบหมดสิทธิ์หนี?
ไฟชนิดเดียวในโลกที่ยังไม่มีเทคโนโลยีดับเพลิงใด ช่วยระงับได้ก็คือไฟโกรธ นั่นไงครับ!
ไฟโกรธนั้นเมื่อเกิดขึ้นที่ใจแล้ว ต่อให้วิ่งหัวซุกหัวซุนไปถึงไหนก็ไม่รอด ต้องโดนเผาเกรียมหมด
บางครั้งคุณอาจถูกเผาช้าๆ ให้ตายทรมาน กว่าจะสิ้นลมต้องดิ้นพล่านเหมือนหมูในน้ำร้อนแรมปี
เช่น อาฆาตพยาบาทใครแล้วหาทางแก้แค้นเอาคืนไม่ได้ แต่บางคราวก็อาจตายแบบโป้งเดียวจอด
เช่น โกรธเมียก็ยิงเมียแล้วกรอกปากตัวเองตาม ดังที่เห็นข่าวกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ต้องสาธยายมาก

ในขอบเขตที่ใหญ่กว่านั้น ไฟโกรธอาจเผาเมืองหรือล้างเผ่าพันธุ์กันได้ เช่น
ที่ประวัติศาสตร์บอกเราว่าสงครามล้างโคตรล้างเผ่าพันธุ์นั้น หลายต่อหลายหนมาจากความโกรธของคนๆเดียว
ไฟโกรธของมนุษย์จึงได้ชื่อว่ามีฤทธิ์เหนือไฟฟืนและพิษร้ายทั้งปวง
เพราะนอกจากมีสิทธิ์ทำลายตัวเองแล้ว ยังอาจลากผู้คนลงเหวมรณะไปด้วยได้มากมายเกินจะนับ

และหากนับเอาการ ‘ทำร้ายตนเอง’ ขั้นสูงสุดจริงๆ มันไม่ใช่แค่การฆ่าตัวตายหรอกนะครับ
แต่เป็นการฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ หรือทำร้ายพระพุทธเจ้า
กล่าวคือถ้าลงมือสำเร็จ ก็จะได้ชื่อว่าก่อ ‘อนันตริยกรรม’ เต็มขั้นทันที
อนันตริยกรรมนั้นมีกิจเป็นการปิดกั้นสวรรค์นิพพาน ต่อให้บุญหนักขนาดไหนก็ช่วยให้รอดจากนรกไม่ไหว
อย่างไรต้องลงนรกก่อนขึ้นมาเสวยบุญอื่นๆ และแม้ชาติต่อจากนรกมีสิทธิ์เสวยบุญในภูมิมนุษย์
สุดท้ายก็ต้องเสวยเศษกรรมเป็นการตายทรมาน อาจถูกลูกตัวเองฆ่า อาจถูกโจรฆ่า
หรืออาจถูกฆ่าด้วยวิธีประชาทัณฑ์ แต่อย่างไรก็ค่อนข้างแน่นอนว่าศพจะทุเรศน่าอเนจอนาถ
สมกับที่เคยทำกรรมอันน่าละอายยิ่งยวด ฆ่าได้แม้ผู้ทรงคุณใหญ่อย่างพ่อแม่หรือพระอรหันต์

ก็แล้วอนันตริยกรรมนั้นมีสิ่งใดเป็นแรงขับเคลื่อนถ้าไม่ใช่ความโกรธ?
การที่พุทธศาสนาสอนให้ระงับความโกรธนั้น ประการแรกจึงเป็นไปเพื่อให้เราออกจากวงจรของการเบียดเบียน
หมายถึงไม่ต้องก่อบาปก่อกรรมอันจะส่งให้ได้รับผลเผ็ดแสบ
ประการที่สองเป็นไปเพื่อให้เราหลุดพ้นจากวงจรทุกข์
หมายถึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่กันอย่างนี้อีก

สำหรับจุดประสงค์ประการที่สองของพุทธศาสนานี่แหละ ที่เป็นคำตอบโดยตรงสำหรับคำถามของคุณนะครับ
แม้ว่าโทสะอาจเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จในชีวิต
ชาวพุทธที่แท้ก็จะไม่เห็นค่าของโทสะอยู่ดี เนื่องจากมองอยู่ก่อนแล้วว่าชีวิตหนึ่งๆ เป็นเพียงห่วงโซ่ของทุกข์
ต่อให้ชีวิตประสบความสำเร็จ ได้ร่ำรวยมั่งคั่งอย่างไร ก็ได้ชื่อว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของทุกข์อยู่ดี

เพื่อที่จะตัดตนออกจากห่วงโซ่แห่งทุกข์
อย่าว่าแต่โทสะอันน่าอึดอัดเลยครับที่เราต้องทำลาย แม้แต่ราคะอันชวนรัดรึงก็ต้องทิ้งให้ได้

แก่นสารสูงสุดของพุทธศาสนาเป็นเรื่องพูดลำบาก
ต้องเห็นให้ชัดตามลำดับว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ
แล้วจึงยอมรับกันได้ในขั้นท้าย ว่าสูงสุดแห่งโทษคือการติดอยู่กับกิเลส
สูงสุดแห่งประโยชน์คือการหลุดพ้นจากกิเลส

การไปสู่ความหลุดพ้นได้สำเร็จไม่ต้องอาศัยโทสะเป็นแรงขับดัน แต่อาศัยปัญญาเห็นโทษของโทสะ
เห็นโทสะเป็นของร้อนของเหม็น เห็นโทสะเป็นของอื่นจากจิต เป็นของนอกจิต เป็นของไม่เที่ยง เป็นขยะ การหวงโทสะไว้ในแต่ละครั้งคือความโง่เปล่า การเป็นอิสระจากโทสะต่างหากคือความฉลาด

โดย ดังตฤณ
จากนิตยสาร ธรรมใกล้ตัว ฉบับที่ ๐๒๐
ที่มา : http://dungtrin.com

ไม่มีความคิดเห็น: