25 เม.ย. 2554

นวัตกรรม filter ช่วยแก้ปัญหาหลุมสิว



การฉีด Filler คืออะไร ช่วยเรื่องอะไร
จริง ๆ แล้ว Filler เป็นชื่อรวม ๆ ของคำว่าสารเติมเต็ม เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เราขาดตกบกพร่องไป ไม่ว่าจะเป็นหลุมสิว ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยที่ลึก ๆ ที่เป็นร่องลงไป หรือไม่ว่าจะเป็นร่องแก้ม อย่างเช่นว่าอยู่ดี ๆ แก้มก็หายเข้าไป หรือเป็นร่องที่จมูกอะไรพวกนี้ เหล่านี้จะสามารถใช้ filler เติมได้หมดเลยค่ะ

สารที่ฉีดเข้าไปเป็นสารอะไร
มีได้ตั้งแต่ Collagen (คอลลาเจน) Hyaluronic Acid (ไฮยาลูรอนิค เอซิท) สารที่กล่าวมานี้เรียกได้ว่าได้ผ่านการรับรองจาก อย.แล้ว และก็ค่อนข้างปลอดภัยที่สุด เนื่องจากสารเหล่านี้เป็นสารที่เสื่อมสลายไปได้ทั้งหมด เป็น 100% biodegradable แล้วแต่ว่าสารตัวนั้นจะอยู่นานเท่าไหร่ บางตัวก็จะอยู่ 3 เดือน 4 เดือน หรือ 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง อันนี้คือสารที่ปลอดภัย ถ้าต้องการให้สารกลุ่มนี้อยู่ได้นานขึ้น เค้าก็จะเอาสารกลุ่มนี้ไปผสมกับพวกเม็ดพลาสติก ซึ่งพวกนี้ก็จะไม่ค่อยดีและก็จะอยู่ได้นานขึ้นมาหน่อย แต่ว่าข้อเสียก็คือจะเป็นก้อนได้ จะแพ้ได้ และก็ถ้าเป็นก้อนก็จะอยู่ตลอดชีวิตได้เพราะว่ามันเสื่อมสลายไปไม่ได้ ฉะนั้นก็จะอันตราย กับอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกถาวรเลย เช่นพวกซิลิโคน พวกนี้ใช้ไปไม่ดีแน่นอน พอนานไปก็จะไหล จะย้อย จะห้อยเป็นก้อน ๆ ที่บอกว่าพวกดาราสมัยก่อนไปฉีดแล้วก็ตกลงมาต้องไปรีบขูดออก ทีนี้ในแง่ filler ที่หมอพูดถึงก็คือส่วนใหญ่แล้วเราจะแนะนำให้ใช้ในกลุ่มนี้เลย ถ้าไม่ Collagen (คอลลาเจน) ก็ Hyaluronic Acid (ไฮยาลูรอนิค) เรียกว่า เสื่อมสลายไปได้หมด 100% สมมุติว่าเราฉีดไปปุ๊บแล้วเราแพ้ หรือเราไม่ชอบ เราสามารถใช้เอนไซม์สลายทันทีในอีก 2 อาทิตย์ต่อมาก็จะหายไปหมด เพราะฉะนั้นหมอจะแนะนำคนไข้แบบนี้มากกว่า แต่ยกเว้นคนไข้ที่มีโรคบางโรคเช่น บางคนหน้าหายไปครึ่งซีก พวกนั้นบางทีเราต้องแนะนำคนไข้ เพราะว่าบางทีการเติมสารเสื่อมสลายไปได้หมดก็จะแพง เราก็จะแนะนำว่าอย่างนั้นเติมสารกึ่งถาวรแล้วกัน แต่ว่าสารกึ่งถาวรนั้นคนไข้ก็ต้องเข้าใจว่าอาจจะมีก้อนได้ แต่ถ้าหากมีก้อนในคนที่หน้าหายไปครึ่งซีกหากเป็นก้อนขึ้นมาก็ไม่ได้ดูลำบากมากมายอะไรนัก ก็จะเป็นประมาณนี้ซะมากกว่า จะเป็นทางออกของคนกลุ่มนั้น

คอลลาเจน และไฮยาลูรอนิคที่หมอบอกมานั้นต้องผ่านอย.หรือไม่
พวกนี้ต้องผ่าน อย.ทั้งนั้น คอลลาเจนนั้นจริง ๆ แล้วผ่าน อย.สหรัฐฯนานมากแล้ว สิบกว่าปีแล้ว หมอเข้าใจว่าในเมืองไทยนั้น ... คอลลาเจนปัจจุบันไม่ค่อยใช้กันแล้วนะ ก็จะมี HA – Hyaluronic Acid (ไฮยาลูรอนิค) ที่จะผ่าน อย.เมืองไทย แต่เอาเป็นว่าตัวที่ผ่าน อย. ที่ได้รับรองระดับโลกนี่จะเป็นคอลลาเจน กับ HA แต่คอลลาเจนนี่ด้วยเหตุผลบางประการ จริง ๆ ผ่าน อย.สหรัฐฯมาสิบกว่าปีละ แต่ว่าคนนำเข้า อาจจะคนใช้น้อยหรืออะไรก็ตาม ไม่มีใครนำไปขึ้นทะเบียน ก็เลยไม่ได้ผ่าน แต่ปัจจุบันคนใช้ HA มากขึ้นก็เลยมีการขึ้นทะเบียน



คนที่เป็นต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล
ปกติเวลาเราฉีดปุ๊บ ก็จะเห็นปั๊บอยู่แล้ว เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าเราฉีดยังไง สมมุติว่าเราต้องการฉีดร่องแก้ม ต้องการเติมแก้ม เติมโหนกแก้ม เราต้องการเติมหัวคิ้ว เราฉีดปั๊บเราก็จะเห็นปุ๊บ หรือบางคนมือเหี่ยวย่น เติมปุ๊บเห็นปั๊บ แต่ข้อเสียก็อย่างที่หมอบอก พวกนี้ขึ้นอยู่กับว่าตัวที่ดี ๆ ปัจจุบันจะอยู่ประมาณ 1 ปี – 1 ปีครึ่ง พอครบกำหนดก็ต้องมาฉีดใหม่ คือเติมเสร็จปุ๊บครั้งเดียวก็จะเห็น แต่เรื่องของแผลเป็นก็จะมี 2 กรณี เช่นแผลเป็นบางอันเติมแล้วจะขึ้นสูงมากเลย ก็คือเป็นแผลเป็นแบบที่เป็นบุ๋มลงไป คล้าย ๆ กับเป็นร่องลึก เป็นร่องอีสุกอีใสบางตัวก็จะดี บางตัวก็จะไม่ดี แต่ถ้าเรามองบางร่องเหมือนร่องภูเขาที่มันเป็นแอ่งลงไปก็จะดี แต่ถ้าเกิดเรามองเป็นเหมือนกับน้ำแข็งที่ถูกเจาะผ่าตรงกลาง พวกนั้นเนี่ยก็อาจจะเติมยากนิดนึง เพราะว่าความลึกของหลุมมันไม่เท่ากัน หนังรอบ ๆ หลุมเนี่ยจะแตกต่างกัน ถ้าเกิดเป็นร่องเหมือนกับแบบหุบเขา ลักษณะอย่างนั้นน่ะจะเติมง่าย ข้างล่างพังผืดมันไม่เยอะ แต่ถ้าเกิดเป็นเหมือนกับน้ำแข็งถูกเจาะเนี่ยรอบ ๆ มันจะแข็งอาจจะเติมยากนิดหน่อย ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของแผลเป็น

เวลาฉีดนั้นเราสามารถบอกได้เป็นเปอร์เซ็นต์เลยหรือไม่ว่าจะขึ้นมาซักกี่เปอร์เซ็นต์ หรือว่า 100% เลย
เราต้องดูชนิดของแผลเป็น บางชนิดบอกได้เลยว่า 70-80% นั้นขึ้นมาได้สบาย ๆ แต่ในขณะที่บางชนิดของแผลเป็นก็อาจจะขึ้นมาได้แค่ 30-40% ซึ่งเราก็พอจะเดา ๆ ให้คนไข้ได้ว่าแผลเป็นชนิดไหนเติมแล้วจะดูดี แผลเป็นชนิดไหนเติมแล้วจะไม่ค่อยดี

แล้วที่บอกว่า ประมาณ 70-80% ก็คือหมายถึงว่าเค้าต้องมาฉีดซ้ำหรือก็คือรอสลายไปหมดแล้วค่อยมาฉีดอีกที
สมมุติว่า 70-80% แล้ว 6 เดือนถัดไปเค้าอยากจะมาฉีดเพิ่ม มาบอกให้หมอลองเติมดูนิดหนึ่ง อย่างนี้ก็มาฉีดได้ พวกนี้ไม่จำเป็นต้องรอสลายไปหมด อย่างเช่นเวลาคนที่เป็นร่องแก้มลึกก็เหมือนกัน อย่างเวลาหมอฉีดคนไข้ก็จะประมาณ 1 หลอด แล้วอีกซัก 6 เดือนก็มาฉีดอีกซักทีนึง พวกนี้เมื่อเราฉีดเสร็จปั๊บเนี่ย แล้วมีการย้ำ ๆ เข้าไปอีก จะเป็นการทำให้เค้าอยู่ได้นานมากขึ้น

คนไข้จะต้องเตรียมตัวอะไรรึเปล่า ก่อนที่จะมาทำ
ก่อนทำไม่ต้องค่ะ มีแต่หลังทำ หลังทำเนี่ยคนไข้บางคนอาจมีช้ำได้บ้างนิดหน่อย เพราะฉะนั้นเนี่ยหลังทำเวลามันช้ำ ๆ เนี่ยเราก็ไม่อยากจะไปพบผู้คน หรือไปงานอะไรที่ค่อนข้างจะสำคัญสำหรับเรา จะช้ำอยู่ 2-3 วัน หรือ 3-4 วัน คนที่ทานวิตามินมาเยอะ ๆ อย่างวิตามินอี หรือว่ายาแก้ปวดกระดูก พวกนั้นจะช้ำนาน หรือผู้หญิงระหว่างมีประจำเดือน พวกนั้นก็จะช้ำนาน แต่ถ้าโดยทั่ว ๆ ไปก็อยู่ที่ 2-3 วัน

รอยช้ำคือผลข้างเคียงอย่างเดียวที่จะมีหรือเปล่า
ไม่ใช่ ถ้าเป็นผลข้างเคียงจากการฉีดก็จะแตกต่างกัน
- อันที่หนึ่งคือเรื่องของการช้ำ
- อันที่สอง ถ้าเกิดบางคนแพ้สาร ซึ่งสาร HA ที่เราใช้กันบ่อย ๆ ในปัจจุบันเนี่ย โอกาสแพ้ยาก ฉะนั้นสารตัวนี้เนี่ยเป็นสารที่ อย.สหรัฐฯ รับรองเองว่าไม่ต้องทำ skin test เนื่องจากโอกาสที่จะแพ้น้อย ทีนี้ประเด็นถัดไปก็คือว่า อันนี้ในแง่เรื่องของสาร ถ้าเกิดระยะยาว ถ้าเกิดบางคนบอกว่าแพ้มาก ๆ เนี่ยจะทำอย่างไร แพ้มากจริง ๆ เนี่ยซักพักให้ยาฉีดแก้แพ้หรือว่าทานยาแก้อักเสบนิดหน่อย พวกนี้ก็จะหายไปของเค้าเอง

ข้อห้ามหลังจากทำ ตากแดดแล้วมีปัญหารึเปล่า
พวกนี้ไม่ค่อยมีข้อห้ามเท่าไหร่ พวกนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับแดด จะต่างกันกับการทำเลเซอร์ ถ้าทำเลเซอร์นี่จะมีแสงไปกระตุ้นเม็ดสี เราจะไม่ให้โดนแดด แต่ถ้าเกิดฉีดพวกนี้เนี่ยจะไม่ค่อยเกี่ยวกับแดด โดยทั่วไปก็ทำอะไรได้ตามปกติ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากมายเท่าไหร่นัก อย่างที่หมอบอกแหละ เผื่อใจว่าอาจจะช้ำนิดหน่อย แต่ที่เหลือก็ไม่มีอะไร ปกติดี ใช้ชีวิตประจำวันปกติ ยกเว้นว่าอย่างบางคนเนี่ย ทำเสร็จแล้วไปทำเลเซอร์ร้อนๆ มันร้อนก็ละลาย เสียของ

ค่าใช้จ่าย
แล้วแต่ว่าเยอะแค่ไหน แล้วแต่คุณภาพของ HA ที่ใช้ เช่นถ้าเกิด HA ที่ฤทธิ์น้อยกว่า ก็จะอยู่ได้ไม่นาน ก็จะถูกกว่า หลอดนึงก็ประมาณ 1 ซีซี มันก็ไล่ไปตั้งแต่ 8,000 ไปจนกระทั่ง 15,000 บาท แล้วแต่ว่าอยู่ได้นานแค่ไหน

แล้วอย่างนี้คนไข้เค้าจะรู้รึเปล่า ว่าคุณภาพสารที่ใช้เป็นอย่างไร
ต้องคุยกับคุณหมอ อันนี้สำคัญที่สุดเลย ต้องหาคุณหมอที่เชื่อใจได้ก็ลองปรึกษาเค้า เหมือนกันกับ Botox อย่างสารตัวนี้ก็มีแบบ original botox และมีอีกยี่ห้อหนึ่งที่ราคาต่างกัน 3-4 เท่าเลย ซึ่งคนไข้ก็ต้องถามคุณหมอว่าตัวนั้นกับตัวนี้มันต่างกันตรงไหน แล้วราคามันต่างกัน 3-4 เท่านี่จริง ๆ แล้วคุณภาพมันต่างกันตรงไหน แล้วถ้าเกิดเรายอมรับได้ที่คุณภาพขนาดไหน เราก็ทำตามนั้น แต่ว่าขั้นพื้นฐานที่สุดเลยก็คือหาหมอที่เชื่อใจได้ หลังจากนั้นก็จะคุยกับคุณหมอให้เค้าอธิบายว่า Botox ขวดนี้นะราคาถูกมากเลย เราก็ต้องถามว่าข้อดีข้อเสียของการใช้ botox ขวดนี้คืออะไร อันนี้ราคากลาง ๆ ข้อดีข้อเสียคืออะไร เช่นเดียวกับสารฉีดเหมือนกัน อย่างเช่นเวลาหมอบอกคนไข้คิดให้ดีเลย บางทีคนไข้หน้าหายไปครึ่งนึง เราก็บอกคนไข้ว่าวิธีที่เหมาะที่สุดกับคนไข้คือ เอาไขมันตัวเอง บางทีหมอก็ต้องบอกให้คนไข้เลี้ยงไขมันนะ เลี้ยงแล้วก็ต้องอ้วนนะ แต่เลี้ยงมา 2 ปีแล้วก็ไม่อ้วนซักที แล้วหน้าเธอก็ตอบ ไม่อยากออกสังคม บางทีก็สงสาร ก็เลยว่างั้นฉีดเป็นสารเติมเต็มชนิดที่อยู่ถาวร บางทีหมอก็ต้องช่วยอธิบายคนไข้ให้ฟังว่า ถ้าเป็นสารที่ปลอดภัยมันก็ดี แต่ข้อเสียคือเธอเสียเงินเยอะมาก ๆ เลยนะ เพราะว่าหน้าตอบเนี่ยกว่าจะทำให้เต็มเนี่ยใช้หลายหลอดเลย เสียเงินเยอะ ปีหนึ่งก็ต้องมาเสียใหม่ ซึ่งคนไข้ก็อาจจะไม่ค่อยไหว เราก็จะบอกว่าสารเติมเต็มกึ่งถาวรนะ สารเติมเต็มเนี่ยใกล้เคียงกันในการฉีดต่อครั้ง แต่ข้อดีไม่ต้องมาฉีดซ้ำ จบกันไปเลย แต่ข้อเสียคืออาจจะมีก้อน มีไหลนิด ๆ หน่อย ๆ แพ้ได้ ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น มาว่ากันอีกทีหนึ่ง สำหรับคนไข้ ถ้ารับตรงนี้ได้ก็โอเคเอาสารตัวนี้ ก็เป็นเรื่องที่คนไข้ต้องตัดสินใจ โดยเฉพาะถ้าคนไข้ที่เป็นโรค ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรแล้วปล่อยให้คนไข้นั่งอยู่กับบ้าน เครียดกับตัวเองโดยทั่ว ๆ ไป ทุกที่ล่ะค่ะต้องมีตัวเลือก จะได้บอกกับคนไข้ว่าเหมาะกับอะไร

ขอขอบคุณ
แพทย์หญิงนันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ
APEX Profound Beauty

ไม่มีความคิดเห็น: